ดูหนัง ผีดิบคลั่ง บัลลังก์เดือด 2 NETFLIX

ดูหนัง ผีดิบคลั่ง บัลลังก์เดือด 2 NETFLIX

ดูหนัง ผีดิบคลั่ง บัลลังก์เดือด 2 NETFLIX

ดูหนัง ผีดิบคลั่ง บัลลังก์เดือด 2 NETFLIX ทำให้ซีรีส์นี้ขับดันเรื่องราวด้วยพลอตรวมทั้งยังให้วิวัฒนาการของตัวละครช่วยเหลือเรื่องราวไปได้พร้อมกัน จริงๆก็เป็นเรื่องที่เกาหลีทำเก่งอยู่แล้ว แม้กระนั้นที่จำต้องสรรเสริญขึ้นไปอีกในซีซันนี้คือเส้นกราฟของเรื่องที่วูบวาบมาก รวมทั้งยังใส่เรื่องเกี่ยวกับการสกัดคุ้มครองป้องกันโรคระบาดที่อินเทรนด์ขณะนี้สุดๆไปพร้อมทั้งเรื่องของการช่วงชิงในอุดมการณ์การปกครองที่ไม่เหมือนกันอันเป็นเรื่องสากลได้กลมกล่อมละมุนละไม ผีดิบคลั่ง บัลลังก์เดือด 2 NETFLIX ไม่มีคำว่ามิตรหรือญาติพี่น้องอีกต่อไป ทำให้เรื่องราวยากคาดเดา สนุกตั้งแต่ต้นกระทั่งจบ แม้หลายสิ่งหลายอย่างเราจะคาดคะเนได้มาตั้งแต่ตอนสุดท้ายซีซันแรกอย่างเรื่องคนทรยศหักหลัง หรือเรื่องลูกชายที่จะประสูติ แต่ว่ามันก็ยังมีเนื้อหาบิดให้เรื่องมีน้ำหนักน่าดึงดูดไปต่อได้อีกการแสดงของดาราหนังก็นับว่าดีดุดันสมหน้าที่ มีความเป็นทีมมากยิ่งกว่าโดดเด่นคนเดียวๆเป็นรายบุคคล แต่กระนั้นก็จำเป็นต้องดู แบดูนาที่ยังเล่นได้พอดิบพอดีแบบไม่ล้น จูจีฮุนที่ให้ความรู้สึกว่าตัวละครมีความเจริญอยู่เสมอเวลา ริวขอนไม้ยองที่ยังคงใช้น้อยทำมากมายเล่นกับบทนิ่งๆใช้สายตากับน้ำเสียงข่มฝั่งดารานำชายเอาอยู่หมัด แล้วก็เป็นตัวร้ายที่ร้ายได้ของไม่หมด สมศักดิ์ศรีสำหรับการขับเรื่องด้วยความทารุณน่าหมั่นไส้และก็น่าสะพรึงไปพร้อมมากๆ

The Outpost – ฝ่ายุทธภูมิล้อมตาย

เป็นหนังที่ผลิตขึ้นมาจากเรื่องที่เกิดขึ้นจริงของกรุ๊ปทหารอเมริกันที่ปฏิบัติหน้าที่ณ์อยู่ที่อัฟกานิสถาน แต่ว่าที่ยึดมั่นของพวกเขาเป็นหลุมซึ่งทุกๆวันก็จำต้องเผชิญหน้ากับความอันตรายพวกตาลีบันมายิงเป็นว่าเล่น และอยู่มาวันหนึ่งสถานะการณ์ก็แย่สุดขีด เมื่อเหล่าทหารตาลีบันยกกองทัพมากยิ่งกว่า 400 คน ล้อมทุกด้าน

หวังถล่มที่ราบนี้ให้ยับ ทำให้เหล่าทหาร 50 กว่านาย กัดฟันสู้เพื่อคุ้มครองปกป้องแล้วก็ยึดฐานที่มั่นนี้เอาไว้หนังถูกแบ่งเป็นสองส่วนอย่างแจ่มแจ้ง โดยขั้นแรกหนังจะพาพวกเราไปรู้จักกับเหล่าทหาร 50 กว่านายในสมรภูมิแห่งนี้ ซึ่งหนังมันพาไปรู้จักจริงๆลือชื่อซะหมดทุกผู้แสดง ปัญหามันเกิดทันที “จำไม่ได้”

จำไม่ได้จริงๆว่าคนใดกันเป็นคนไหนกันแน่ ดูหนัง ผีดิบคลั่ง บัลลังก์เดือด 2 NETFLIX เค้าหน้าเอย ชุดที่ใสี่แต่งตัวเอย นอกจากผู้แสดงหลักที่ขึ้นในโปสเตอร์แล้ว ก็เสียเวลานั่งคิ้วขมวดว่าไอ้นี่คนใดกันแน่วะ จำต้องใช้เวลาพักใหญ่ๆเลยกว่าจะพอเพียงจับได้ว่าไอ้นี่คือใครกันแน่ นอกเหนือจากนี้หนังยังพาพวกเราไปรับรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้นต่างๆข้อผูกไมตรีกับประชาชน

อะไรทำนองนั้น มีการแทรกแอ็คชันเบาๆเป็นช่วงๆกับการตอดมาจู่โจมของเหล่าตาลีบัน แต่ว่าครึ่งหลังน่าจะเป็นสิ่งที่ทุกคนรอคอย เพราะแอ็คชันจัดเต็มมากมาย ไม่ใช่แค่ 5-10 นาที แต่ล่อกันยาวจนถึงแทบหมดเรื่องเลย มายังกับพายุ เมื่อเหล่าตาลีบัน 400 คน บุกมาจู่โจมฐานที่มั่นนี้ ห่าลูกกระสุนลอยละล่องว่อนทุกวินาที

เสียงปืนดังแบบไม่มีหยุด แสงไฟจากกระบอกปืนจากทุกทิศทุกทาง พร้อมเสียงระเบิดดังเป็นระยะๆปืนครกเอ่ย RPG เอ่ย มาแบบไม่ให้พักหายใจ เหมือนได้เข้าไปอยู่ในสถานะการณ์จริงๆมีนานัปการสถานการณ์ให้ติดตาม (จะว่าก็ว่าเถอะ ยิ่งดูก็ยิ่งอดคิดมิได้ว่าคนไหนกันแน่มันสร้างฐานไว้ตรงนี้ กลางเขาล้อม

เสียเปรียบในทุกมุมมอง เสมือนรอคอยวันให้เขามาถล่มถ้าอย่างนั้นอะ) มีสิ่งหนึ่งที่เราตะหงิดกับฉากแอ็คชันเป็น มันไม่เรียลสักเท่าไหร่เลย โดยเฉพาะการยิงกันแล้วเห็นผ่านลำกล้องของปืนเนี่ย เอามาใช้บ่อยครั้ง มันมีความรู้สึกบางอย่างที่ยังขาดๆอยู่บ้าง หนังมันยังไม่มีซีนให้น่าจำมากพอมั้ง แอ็คชันเยอะแยะจริง เดือดจริง

แต่ว่ามันก็ยังรู้สึกไม่สนุกมากพอกับส่วนนี้อย่างบอกไม่ถูกเช่นกัน บางทีก็อาจจะเพราะว่าเนื่องจากว่านักแสดงมากมายหนังพาพวกเราไปรู้จักอย่างผิวเผิน เลยอาจจะเป็นผลให้พวกเราไม่อินกับแต่ละนักแสดงสักเท่าไหร่ด้วยล่ะมั้ง ดราม่าก็มี แต่มันยังไม่ถึงจุดจริงๆสรุปแล้ว The Outpost คงจะชื่นชอบคอหนังแอ็คชันการทำศึกไม่น้อย แต่ว่าถ้าเกิดจะกล่าวถึงหนังติดในป่าดงศัตรูมาเปรียบเทียบอย่าง Black Hawk Down, 13 Hours หรือ Lone Survival ก็อาจจะต้องบอกตรงๆว่า The Outpost ยังสู้ 3 เรื่องนั้นมิได้ในหลายๆแง่

ทางด้านงานสร้างก็มีฉากใหญ่ๆมาขายได้ตลอด

โดยเฉพาะฉากช่วงท้ายที่เข้ามาในพระราชวังลากไปจนกระทั่งการต่อสู้หนสุดท้ายที่ออกแบบมาสวยมากมายๆมุมกล้องถ่ายรูปเบิร์ดอายทิวทัศน์โชว์พลังของการรุกของซอมบี้กับการตั้งรับสุดแรงต่อต้านของพวกผู้แสดงนำชายเจริญบ่อยครั้ง แม้ว่าจะพึงใจอยู่บ้างกับฉากรบเปิดเรื่องที่ตลอดจากซีซันแรกมาว่าจะต้องเป็นฉากใหญ่ยักษ์ที่เมืองซังจูแน่ๆแต่ว่าเอาจริงเอาจังมันก็ไม่ขนาดที่มุ่งหวัง

ด้วยเหตุว่าเหมือนเรื่องจะรีบเล่าไปยังจุดถัดไปเสียมากกว่า ทำให้ฉากการรบช่วงต้นประเด็นนั้นไม่ตื่นเต้นมากเท่ากับฉากเมืองทงเรแตกหรือฉากพระเอกย้ายถิ่นชาวบ้านหนีซอมบี้ผ่านชายป่าในซีซันแรกได้เลย แต่ก็เพราะบทซีซันนี้ยุแหย่เราไม่หยุดแล้วก็เล่ารอยต่อจุดสถานการณ์แบบเชิญให้รู้เรื่องด้านหน้าตลอดทำให้เราไม่ทันรู้สึกถึงจุดอ่อนเหล่านี้แล้วก็ถ้าเกิดผู้ใดอยากทราบว่ามีซีซันต่อไหม

ทางนักเขียนบทอย่าง คิมอึนฮี ได้ให้สัมภาษณืไว้แล้วว่าถ้าแฟนๆต้องการและก็นายทุนสนับสนุนคุณสามารถเขียนได้เป็น 10 ซีซันเลย และแบบนั้นเลย หากแม้ช่วงปลายในระหว่างที่ 6 ของซีซันนี้จะทำให้คิดว่าเออเรื่องมันลงตัวหมดแล้วไม่น่ามีภาคต่อแล้วล่ะ แต่ว่า 10 นาทีท้ายที่สุดที่ จอนจีฮยอนจะแสดงตัวตามข่าวซุบซิบนั้น ต้องกล่าวว่าเรื่องยังไปได้อีกไกลล่ะงานนี้ รอดูเลย

She Dies Tomorrow เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับสตรีคนหนึ่งที่มีความคิดว่าพรุ่งนี้ตนเองกำลังจะตาย

เธอก็เลยได้บอกเล่าเรื่องราวนี้กับเพื่อนของเธอ แต่ว่าเสมือนมันจะเปลี่ยนเป็นเชื้อร้ายที่แพร่ความหวาดกลัวให้กับผู้คนที่ได้ยินมัน!บอกก่อนว่านี่ไม่ใช่หนังผี ไม่ใช่หนังสยองขวัญ ไม่ใช่หนังระทึกขวัญใดๆก็ตามทั้งหมดทั้งปวง หากแต่ว่ามันกลายเป็นหนังที่บอกกล่าวถึงความหวาดกลัว ความเดียวดาย ความเศร้าใจ

ความเปล่าเปลี่ยว และก็คำพูดที่มันสามารถส่งผลต่อคนอื่นได้อย่างไม่น่าเชื่อคำพูดที่ว่า “ฉันจะตายวันพรุ่งนี้” ที่มองเป็นคำพูดลอยๆไม่มีเพราะเหตุใดๆมารองรับ มันก็ยากที่จะเชื่อ ดูหนัง ผีดิบคลั่ง บัลลังก์เดือด 2 NETFLIX แต่พอเพียงเวลาผ่านไปเมื่ออยู้ในเหตุการณ์เหมาะสมและฉุกคิดขึ้นมาได้มันกลับทำให้อีกคนไม่ใช่น้อยคิดตาม ซึ่งมันสะท้อนออกมาให้มองเห็นได้ว่าคำพูดของคนนั้นมีอิทธิพลมากแค่ไหน

มันเหมือนความรู้สึกที่ว่าเวลาพวกเราเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในที่ประชุมนการณ์หรือสถานที่ หรือผู้คนที่ทำให้พวกเรารู้สึกลบ มีพลังงานลบ รู้สึกหมดกำลังใจ มันคือการส่งผ่านอารมณ์ความนึกคิดความรู้สึกของคนหนึ่งที่ถ่ายทอดสิ่งลบเหล่านั้นมายังตัวเรา หนังหัวข้อนั้นให้ความรู้ความเข้าใจสึกอย่างนั้นเลยแล้วก็หนังก็มิได้ทอดทิ้งคำพูดของตน พากเพียรพาพวกเราไปพบคำตอบว่าในความเป็นจริงแล้วเธอจะตายวันพรุ่งนี้หรือเปล่านะ

มีหลายเหตุการณ์ที่พยายามส่งให้คำกล่าวของผู้แสดงหลักมีน้ำหนักรวมทั้งมีความน่าจะเป็นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆอย่างไรก็ตาม บทได้บอกให้เห็นถึงการต่อกรกับความตายของแต่ละคนว่าจะทำอย่างไร เมื่อทราบดีว่าวันพรุ่งตนเองจะตาย เราจะได้เห็นสิ่งกลุ่มนี้เด่นชัดมากมายในแต่ละตัวละคร ไม่ว่าจะเลือกที่จะปล่อยวาง

เลือกอยู่กับแฟน เลือกไม่อยู่กับสิ่งที่เราเองไม่รัก ซึ่งมันก็แฝงใจความฝังมาในหัวเราว่า “เอ๊า แล้วตอนยังไม่เคยรู้ว่าใกล้ตาย เพราะอะไรไม่เลือกสิ่งที่จำเป็นในชีวิตวะ”แต่ว่าหนังมันมิได้ดูบันเทิงใจหรอกนะ มันเป็นหนังแบบ Slow Burn มากมายๆเบาๆเล่า เบาๆพรีเซนเทชั่น เบาๆถอดทอด

ซึ่งถ้าหากใครกันแน่ไม่อินตาม ไม่ติดตามจริงนี่เป็นยอมแพ้ได้อย่างง่ายดายเลย ซึ่งในระหว่างที่พวกเราดูประเด็นนี้ในโรง คนที่นั่งแถวเดียวกับพวกเรา 2-3 คนก็ลุกออกจากโรงไปเลย ครู่หนึ่งก็ลุกออกไปอีก 1-2 คน ตอนต้นมีความรู้สึกว่าคงไปเข้าสุขา แม้กระนั้นหนังจบก็ยังมองไม่เห็นเขากลับมาอีกเลย 555+สรุปแล้ว She Dies Tomorrow ไม่ใช่หนังที่เหมาะกับทุกคน เป็นหนังที่เล่าไม่สนุกเลย แต่มันบางทีอาจให้ข้อคิดบางอย่างในขณะคุณกำลังเริ่มจะมีชีวิตอยู่ก็เป็นไปได้

ข้อดี

1.เล่าเรื่องสนุกสนานมาก บทไปด้านหน้าตลอดเวลาแทบจะลืมหายใจ มีความพลิกผันให้ตื่นเต้นอยู่เสมอ

2.ตัวละครทุกตัวมีฉากขายสินค้าตัวเอง และเท่มากๆตลอดตัวหลักตัวรอง ตัวนำแล้วก็ตัวร้าย

3.คลายปมพร้อมสร้างปัญหาใหม่ได้น่าสนใจ
4.งานสร้างดี ดีไซน์มุมกล้องถ่ายรูปงาม

จุดสังเกต

1.ถ้าเกิดคิดดีๆบทก็มีจุดอ่อนบ้างล่ะยกตัวอย่างเช่นความประพฤติปฏิบัติทึ่มๆของบางนักแสดง

2.หลายอย่างเดาได้ตั้งแต่ตอนแรกแล้วเลยลดทอนความอยากรู้ไปบางเรื่อง

3.ฉากการสู้รบที่มาของเรื่องผิดความหวังไปหน่อย

4.จอนจีฮยอนมาน้อยไป (ฮา)

5.เสียงพากย์ไทยกับซับไทยแปลมีความขัดแย้งอย่างมีนัยยะสำคัญบางฉาก

รักหนูมั้ย เป็นผลงานการดูแลของ โน่ ภูวเนตร สีชมพู

หนึ่งในดาราหนังของ ไทบ้านเดอะซีรีส์ กับผลงานการกำกับหนแรก ที่คราวนี้ไม่ได้เล่าถึงบรรยากาศหรือวิถีชีวิตชาวอีสานชานเมือง แต่จะเป็นเรื่องในเมืองกับเรื่องราวความรักเรา 1-2-3-4-5 คนรักหนูมั้ยบอกกล่าวเรื่องของกลุ่มวัยรุ่น 3 ผู้ที่ได้อาศัยอยู่ชายคาเดียวกัน คืนนึงได้จ้างสาวขายบริการมาสร้างความสบายให้พวกเขา

แต่ว่าแล้วหลังเวลาล่วงเลยไป สาวคนเดิมกลับมาขออาศัยอยู่ด้วย พร้อมเผยความจริงว่าเธอท้อง! แต่ว่าไม่เคยรู้เลยว่าใครเป็นพ่อเด็ก ก็เลยทำให้ทั้งยัง 3 มานะหาสิ่งพิสูจน์ แต่ยิ่งเวลาผ่านไปความสัมพันธ์ของทั้ง 3 ที่มีต่อเด็กรวมทั้งแม่เด็กก็พอกพูนขึ้นไปด้วยเช่นเดียวกันถ้าหากอ่านแค่เรื่องย่อบางครั้งอาจจะคิดได้ว่านี่คือหนังดราม่าจัดๆเรียกน้ำตา

อึดอัด รวมทั้งเคร่งเคลียด แม้กระนั้นไม่เลย หนังมันกลับขบขัน ตลกขบขันมากมายด้วย ไม่ใช่ขำขันแบบยัดเยียดอะ มันเป็นตลกราวกับสหายนั่งคุยกันจริงๆแถมยังมีความโรแมนติคสอดแทรกได้อย่างลงตัว หนังมีความธรรมชาติอยู่สูงมากมาย ธรรมชาติอีกทั้งบท การแสดง นักแสดง และยิ่งความยุติธรรมชาติพวกนั้นมันยิ่งทำให้เราเชื่อรวมทั้งเห็นถึงความรักความสุจริตใจ

ของเหล่าผู้แสดงนำได้เป็นอย่างดีดารานำแต่ละคนไม่ทราบจะติเตียนอะไรจริงๆถ้าผู้ใดกันแน่ติดตามจักรวาลไทบ้านมาก็น่าจะคุ้นหน้าคุ้นหน้ากันเป็นอย่างดี และการมีอยู่ของผู้แสดงทั้ง 3 ก็ลงตัวแบบสุดๆส่วนทางด้านนางเอกสมาชิกใหม่คือโคตรของโคตรสวย ไม่ได้สวยเด่นแบบฟอร์มนิยม

แม้กระนั้นเพียงพอคุณยิ้มทีโลกก็งามขึ้นทันตา ส่งให้ผู้ชมอย่างเราๆยิ้มตามได้อย่างไม่ยากเย็น และก็พอเข้าใจว่าเพราะเหตุไรชายทั้งยัง 3 พร้อมจะรักสตรีคนนี้ แต่ถึงหนังจะบอกเล่าเรื่องราวของสตรีท้องที่มาอาศัยบ้านผู้ชายทั้งยัง 3 ที่คาดว่าหนึ่งในนั้นน่าจะเป็นบิดาของเด็ก แต่ว่าประเด็นหลักหรือสาระสาคัญของหนังจริงๆไม่ใช่การตามหาความจริง

แม้กระนั้นเป็นการแสดงให้เห็นมุมมองความรักที่อีกทั้งสามมีต่อเด็กและก็แม่ของเด็กมากกว่า พร้อมๆกับสื่อให้เห็นถึงความเป็นครอบครัวในรูปแบบใหม่ที่กล้าท้าทายสังคม ชอบความที่หนังไม่วินิจฉัย มิได้ชี้ว่าถูก ไม่ได้ชี้ว่าไม่ถูก หนังเพียงแค่ถ่ายทอดความสุขในทางมุมของพวกเขา 3-4-5 คนแค่นั้น

แถมมีการสอนแล้วก็ให้แง่คิดกับวัยรุ่นได้อย่างแนบเนียน ฉากจบช่วง Post-Credit ดูธรรมดา แต่งดงามแล้วก็น่ารักน่าเอ็นดูมากจริงๆแถมการถ่ายทำ มุมกล้อง การจัดองค์ประกอบต่างๆยังทำออกมาก้าวหน้ามาก เกื้อหนุนเรื่องราวในเรื่องได้เยี่ยม เราได้มองเห็นความเคลื่อนไหวของบ้านที่เหล่าตัวเอกอาศัยอยู่ความเละทะในตอนแรก

กระทั่งมันได้เปลี่ยนเป็นบ้านมากเพิ่มขึ้น พร้อมๆกับความข้องเกี่ยวของผู้แสดงที่เริ่มเปลี่ยนแปลงและก็สะท้อนภาพของคำว่าครอบครัวออกมาได้อย่างสวย แม้หนังจะมีความไม่มีเหตุผลหรือน้ำหนักสำหรับเพื่อการตัดสินใจกับพฤติกรรมบางสิ่งบางอย่างจะน้อยลงไปหน่อย แต่ รักหนูมั้ย เป็นหนังที่ดูแล้วมอบรอยยิ้มและก็ความอบอุ่นให้กับคุณได้แน่นอน

เป็นฤดูกาลที่เดินเรื่องไวมากมายๆราวกับนึกจะไปไหนทำอะไรก็ตัดไปฉากนั้นในทันที

ไม่มีอารัมบทใดๆก็ตามให้น่าเบื่อเลย เนื่องจากว่าจำนวนตอนน้อยมันเลยเป็นข้อดีสำหรับเพื่อการเล่าเรื่องอย่างนี้ พระเอกจากฤดูกาลก่อนว่าโก้แล้วเจอซีซั่นนี้เข้าไปนี่แบบ โอ้วโบ๋วว สกิลพระเอกเลเวล 99 ตั้งแต่เปิดซีซั่นจนถึงจบฤดูกาล ส่วนตัวร้ายนี่ก็ตายได้สาแก่ใจดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระมเหสีโจ นี่คือโคตรสาแก่ใจ

มั่นหน้ามั่นโหนกเหลือเกินอีชิบหาย เอ็งจะบ้าอำนาจอะไรขนาดนั้น โดนซะ ถถถถถถถถถถถถถถส่วนตำแหน่ง MVP ของประเด็นนี้มีคนไม่ใช่น้อยเลย คนแรกเลยคือ อาจารย์ อันฮยอน ผู้สละโดยแท้ ถ้าหากดารานำชายเลเวล 99 อาจารย์ก็เลเวล 99 มาแล้ว 3 รอบ จุติวนไป จารย์แม่งงงวยมึนงงงโคตรเท่เลยว่ะ

ส่วนอีกคนที่เด่นขึ้นมาเลยก็คือ ยองชิน คนเริ่มต้นความชิบหายที่เอาศพมาต้มให้คนรับประทานนั่นแหละ คือถึงภาคนี้สะบักสะบอมมอซอมากแค่ไหน แต่ว่าพี่แม่งเท่ได้ทุกเหตุการณ์จริงๆซอบี เป็นอีกคน ที่บทในภาคนี้เด่นขึ้นมา ส่วนตัวผมถูกใจตัวละครนี้นะ มันมีส่วนผสมของความอาจหาญบุ่มบ่ามรวมทั้งความอ่อนน้อม

อารมณ์เสมือนเป็นพรีสกดตาม Blessing ให้พระเอกตลอดระยะเวลา มั่นใจว่า Season3 นางน่าจะได้ส่องแสงและก็ความรู้ความเข้าใจมากกว่านี้แน่ๆ งานแอคชั่นในเรื่องจำต้องกล่าวว่ายังบ้าดีเดือดอย่างเดิม ไม่ทราบว่าซีซั่นแรกโดนเย้าแหย่เรื่องวิ่งเยอะไปรึเปล่า มาฤดูกาลนี้เลยเน้นปักหลักสู้อย่างเดียว

ฉากใน EP6 ตอนสู้บนลานน้ำแข็งนี่คือโคตรดี อารมณ์และก็ความรู้สึกสำหรับในการมองฤดูกาลนี้ราวกับได้มอง The Walking Dead ฤดูกาลแรกๆเลยคือมันตื่นเต้นแปลกใหม่ แล้วก็เชิญล่อใจมากๆส่วนตอนจบแน่ๆว่าการปรากฏกายของยัยตัวร้ายนั้นสร้างอิมแพคอารีน่าเมืองทองคำเมืองให้ผู้ที่ได้มองนักหนาอย่างมากว่าบทเธอจะมาแนวไหนแล้วอยู่ฝั่งไหน ก็ต้องตามกันต่อ Season 3 ปีถัดไปสนุกสนานสมการคอยจริงๆเสียดายจำนวนตอนและเวลาของแต่ละ EP น้อยไปหน่อย แหม่กำลังเหมาะเลย

กลับสู่หน้าหลัก https://cheers-ginza.com/